เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมเนาะ ธรรมเป็นอาหารของใจ ปัจจัย ๔ เป็นอาหารของกาย โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน เวลาทางโลกนะ รูป รส กลิ่น เสียง.. กลิ่น เสียง รูป รส เป็นธุรกิจได้หมดเลย สื่อ เห็นไหม เรื่องสื่อ เรื่องกลิ่น กลิ่นทำน้ำหอมต่างๆ เขาทำของเขานะ รูป รส กลิ่น เสียง ทางโลกมันเป็นธุรกิจ มันเป็นผลประโยชน์ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ

“รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร”

มันล่อหัวใจ หัวใจนี่มันจะติดไปในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง รูป รส กลิ่น เสียง ทำให้หัวใจนี้ฟุ้งซ่าน มันสัมผัสของมัน มันมีข้อมูลของมัน มันพอใจของมันสิ่งใด มันต้องการปรารถนาสิ่งนั้น สิ่งที่มันพอใจปรารถนา มันมีความสุขของมัน มันมีความพอใจของมัน มันก็เป็นอนิจจัง มันเป็นเครื่องล่อ มันเป็นบ่วงคล้องคอ มันเป็นที่รัดคอ รัดจิตนั้นไง รัดจิตนั้นให้จมปลักอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

กิเลสตัณหาความทะยานอยากเกิดมาจากใจ เกิดมาจากเรา เราไปมองแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากจากภายนอก เราไปมองสิ่งข้างนอกเป็นเรื่องเขาทำร้ายเรา เขากลั่นแกล้งเรา เขาโจมตีเรา เขาเบียดเบียนเรา แต่เราไม่เคยเห็นเลยว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเบียดเบียนเรา มันกลั่นแกล้งเรา มันทำร้ายเรา กลั่นแกล้งนะ มันทำให้เราเพลิดเพลินในชีวิต

นี่วันคืนที่ล่วงไปๆ เห็นไหม ชีวิตที่ได้มา วันเวลาที่ได้มา คือวันเวลาที่เสียไป คนเกิดมานะมีศักยภาพเสมอกัน คนเกิดมาแล้วมีโอกาสได้เหมือนกัน เพราะคนเกิดมามีชีวิต มีความรับรู้ คนตายแล้วจิตออกจากร่างไป นี่ศพเผาไฟมันยังไม่เดือดร้อนอะไรเลย มันไม่เคยทุกข์ร้อนสิ่งใดๆ เลย เขาเอามันเสียบเข้าไปในกองไฟนะ เผาจนมันงออย่างไร มันก็ไม่เรียกร้องอะไรเลย เห็นไหม นี่เพราะมันไม่มีชีวิต เพราะจิตวิญญาณออกจากร่างกายนี้ไป

คนเกิดมานี่ปฏิสนธิจิต ดูสิประจำเดือนมาแต่ละคน เห็นไหม มันขับถ่ายทิ้งไป ไข่เป็นล้านๆ ฟอง แต่เวลาปฏิสนธิจิต สเปิร์มเข้าไปผสม แล้วมีปฏิสนธิวิญญาณเข้าไป นี่ปฏิสนธิจิต จิตมันเกิดในไข่ของมารดา มันต้องทนทุกข์ทรมานในวัฏฏะ ในภพหนึ่ง ในครรภ์ ๙ เดือน แล้วมันคลอดออกมา

นี่สิ่งที่มีชีวิตคลอดออกมามีชีวิต มีความรับรู้สึก มีความรู้สุข รู้ทุกข์ รู้ดี รู้ชั่ว ความรู้ต่างๆ มันรู้หมด แต่เพราะมันไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเราต้องถนอมรักษาขึ้นมาจนมันมีการศึกษา มีการแสวงหา มีการดิ้นรน เห็นไหม นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแสดงออกตรงนี้ ตรงที่มันต้องเอาตัวรอดไง แต่การเอาตัวรอด มันว่ามันจะเอาตัวรอดแต่มันเอาตัวมันไม่รอด มันไม่รอดเพราะอะไร? เพราะเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกเอาไม่รอดหรอก เอาชีวิตเราไม่รอด

ชีวิตเรามันเป็นจริงตามสมมุติไง มันเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องตายเป็นธรรมดา

“ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด”

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงที่สุดจิตต้องออกจากร่างไปเป็นธรรมดา ทีนี้ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ถ้าเราไม่มีศาสนา ไม่มีที่พึ่งอาศัย เห็นไหม เราไม่มีศาสนา ไม่มีหลักยึดของเรา เราก็ว่าเราศึกษานะ

โลกกับธรรม นี่โลกกับธรรมเวลาประพฤติปฏิบัติ กลิ่น ได้กลิ่น ได้รับรู้รสต่างๆ ได้กลิ่นรับรู้ต่างๆ มันก็ว่าสิ่งนั้นมันรู้มันเห็น ดูสิเปลือกไข่ นี่ฟองไข่ เห็นไหม เนื้อไข่ขาว ไข่แดงมันอยู่ในเปลือกไข่ ในเปลือกไข่นี่เราจะเอาไข่เคลื่อนย้ายไปไหน เราก็ต้องจับไข่ฟองนั้นเคลื่อนย้ายไป

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความรับรู้ในไข่นั้น คือเนื้อไข่ คือไข่ขาว ไข่แดง ในไข่นั้น เห็นไหม ความรู้สึก กลิ่นรับรู้ต่างๆ มันเป็นเปลือกไข่ มันครอบงำจิตอยู่ ถ้าครอบงำจิตอยู่ สิ่งที่เราศึกษาขนาดไหนก็แล้วแต่มันเป็นเปลือกไข่ เปลือกไข่มันหุ้มไข่เอาไว้นะ ไข่ฟองนั้นเป็นประโยชน์เมื่อเราไปตอกใส่เตาใส่กระทะเมื่อไหร่ มันก็เป็นอาหารให้เรา

นี่ก็เหมือนกัน แต่เปลือกเขาต้องทิ้ง เปลือกเขาต้องทิ้งนะ เขาเอาแต่เนื้อไข่ไว้กินนะ เพื่อเป็นประโยชน์กับอาหารเรา นี่ความคิด เห็นไหม ความคิดที่มันเป็นประโยชน์ในโลกุตตรปัญญา ความคิดทางโลกมันเป็นเปลือกไข่ เปลือกไข่กินไม่ได้ เปลือกไข่กินไม่ได้หอรก แต่มันอาศัยกันไป อาศัยที่รักษาฟองไข่นี้ไว้

นี่ความรับรู้สึกต่างๆ เรื่องกลิ่น เรื่องรส เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันเป็นธรรมดาของมัน มันต้องรู้อย่างนั้นแหละ มันต้องรู้ มันต้องเห็นของมัน เพราะมันจะหดสั้นเข้ามา มันทวนกระแสเข้ามา จิตมันทวนกระแสเข้ามา สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็นนั้นน่ะมันเป็นบ่วงของมาร มันเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เห็นไหม แต่ทางโลกเขา นี่เป็นผลประโยชน์ของเขา ถ้าเขารู้จักใช้สอยนะ แต่ทางโลกถ้าไม่รู้จักใช้สอยมันก็เป็นโทษกับเรานะ มันเป็นดาบสองคม

ดูสิติฉินนินทา สรรเสริญนี่คนชอบมาก ติฉินนินทาคนเสียใจมาก มันก็มาจากไหนล่ะ? มันก็มาจากเสียง มาจากสิ่งที่เขาเล่าลือกันมา นี่กลิ่นมันก็มาจากความรับรู้ของเรา กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น เห็นไหม กลิ่นเหม็นมันเป็นความปรารถนาของแมลงวัน กลิ่นหอมมันเป็นสิ่งที่ปรารถนาของแมลงผึ้ง นี่เราจะเป็นอะไร? ใจเราจะเป็นอะไร? เราจะเอากลิ่นไหน? ถ้าเราเอากลิ่นไหน เห็นไหม กลิ่นมันก็คือกลิ่น มันอาศัยดำรงชีวิตของพวกสัตว์ แต่ของเรานี่สิ่งรับรู้เพื่อเราสื่อสารกัน นี่เป็นเรื่องโลกนะ

ถ้าเรื่องธรรมนี่มันจะหดสั้นเข้ามา มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบใจเข้ามา เห็นไหม มันเป็นเนื้อไข่ มันไม่ใช่เปลือกไข่ ถ้าเป็นเนื้อไข่ไม่เป็นเปลือกไข่ นี่สิ่งที่รับรู้ ดูสิดูเนื้อไข่มันจะมีประโยชน์กับร่างกายไหม? มันเป็นประโยชน์ไหม? ดูสิเขาออกกำลังกายขึ้นมา เขากินไข่ เช้าฟองหนึ่ง ร่างกายของเขาจะใช้สารอาหารครบของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันหดสั้นเข้ามา เห็นไหม มันเป็นเนื้อไข่ ถ้าเนื้อไข่นี่ปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญามันเกิดได้เป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาที่เกิดขึ้นมานี่มันต้องมีความสงบสงัดของมันเข้ามา สงบสงัด ทำไมถึงต้องสงบล่ะ? ถ้าไม่สงบมันฟุ้งซ่านเป็นธรรมดา ดูสิเราหยิบไข่ไปมันจะโดนเนื้อไข่ไหม? มันมีเปลือกไข่กั้นอยู่

ความคิดของเราโดยความเห็นของเรา มันเป็นเปลือกไข่ทั้งนั้นแหละ ธรรมชาติของมันเป็นธรรมชาติของมัน นี้เรื่องโลกๆ นะ เรื่องโลกถ้าใครมีปัญญา ใครรู้จักใช้สอยมัน มันเป็นการดำรงชีวิตของเขาได้ ดำรงชีวิตเขานะ

ดูสิดูนักกฎหมาย เห็นไหม เขาชำนาญทางกฎหมาย ยิ่งมีความชำนาญการ เขายิ่งไม่ต้องทำอะไรเลย เขาแค่บริหารจัดการนะ ผลประโยชน์ตอบแทนเขามหาศาลเลย นักกฎหมายฝึกหัด เขาว่าความขนาดไหนเขาจะได้ผลประโยชน์น้อยมาก

นี่ก็เหมือนกัน ในโลกียปัญญา ความชำนาญของเขา ความรู้ของเขา แต่! แต่เขาได้สิ่งใดไปล่ะ? เขาได้อะไรเป็นผลประโยชน์ของเขาไป แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม เรารู้ถึงผลประโยชน์ในศาสนา ศาสนานี่ทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ ศาสนาทำให้เราเห็นข้อเท็จจริงได้ ถ้าเราเห็นข้อเท็จจริงได้นะ

นี่กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา คนทำความดีมา ความชั่วมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำความดีได้มา ความดีอันนั้นมันมีวุฒิภาวะ มันย้อนกลับมา มันทำความสงบของใจเข้ามา นี่กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา.. โอปนยิโก ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ถ้าจิตมันสงบนะ มันจะเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เพราะมันเป็นความแปลกประหลาด เป็นความมหัศจรรย์ของเรา เห็นไหม ของผู้เห็นนะ ของนั้นมันเป็นความมหัศจรรย์มาก

เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูหัวใจที่สงบนี่ไง ดูหัวใจที่มันมีความชุ่มชื่นของมันไง มาดูหัวใจที่มันมีความอิ่มเอิบในหัวใจ หัวใจอย่างนี้โลกเขาหากันไม่ได้ โลกเขาหาความสุขกันด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย เขาจะหาความสุขกันด้วยอามิส นี่มันไม่มีความสุข เพราะมันต้องเสพ เสพจนเป็นความพอใจของมัน มันถึงจะเป็นความพอใจ มันก็ว่าเป็นความสุขอันหนึ่ง เห็นไหม

“ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป”

มันเป็นความทุกข์ ถ้าทุกข์มันดับไป มันพอใจชั่วคราว เดี๋ยวทุกข์มันก็เกิดอีก แต่ความสงบของใจ เวลามันสงบเข้ามามันเป็นสัจจะความจริงของมัน แต่มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกันเพราะมันเป็นอนิจจัง ในเมื่อเป็นสัมมาสมาธิมันเป็นอนิจจัง ถ้าเกิดปัญญา ปัญญาก็เป็นอนิจจัง

ปัญญานี่เป็นปัญญาอนิจจัง ถ้าเราไม่มีสติปัญญานะ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมัน แล้วอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา นี่ก็เป็นอนิจจัง! แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม เรารื้อค้นของเราขึ้นมามันเป็นอนิจจัง

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา”

สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา.. สิ่งที่มันเป็นอนิจจัง เห็นไหม สิ่งที่เป็นอนิจจังเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร? เพราะมันไม่ได้สมความปรารถนาเรา เวลาเราภาวนาขึ้นมา เราอยากมีปัญญา เราอยากประสบความสำเร็จ แล้วมันไม่ได้สมความปรารถนาก็ว่าทุกข์ๆ ทุกข์มาก ทุกข์นั้นเป็นอนัตตา เพราะเราเคยทุกข์มาพอแรงแล้ว ทุกข์มันอยู่ชั่วคราว เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป มันเป็นอนัตตา

มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครไปเห็นมัน ไม่มีใครไปสัมผัสมัน ดูสิดูพายุมันเกิดคนละอำเภอ คนละจังหวัดกับเรา เราเห็นข่าวสารนี่เรารู้หมดแหละ แต่มันไม่เกิดกับเรา ความเสียหายไม่เกิดกับเรา เราไม่ได้รับผลประโยชน์จากน้ำที่เป็นประโยชน์กับเรา นี่พายุมันเกิดขึ้น เห็นไหม มันมีความเสียหาย แล้วมันก็เอาน้ำมา เอาความชุ่มชื่นมาเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปัญญาเกิดขึ้นจากเรา เวลาปัญญาที่เรามีสติสัมปชัญญะ เรามีความสงบของใจขึ้นมา มันเกิดปัญญาเราขึ้นมา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันก็เป็นอนัตตา.. มันเป็นอนัตตา ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันก็ควบคุมไม่ได้ เห็นไหม เราควบคุมไม่ได้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเราฝึกฝน ถ้ามีการฝึกฝน มีการฝึกหัดของมันไป นี่มันเป็นอนัตตา

“ยถาภูตัง ญาณทัศนัง”

ยถาภูตังเกิดขึ้นกับเรา มีเกิดญาณหยั่งรู้กับเรา นี่ความรู้ความหยั่งรู้มันเกิดจากไหนล่ะ? ดูสิเวลาเราได้กลิ่นต่างๆ กลิ่นจากจมูก ได้กลิ่น เรามีความอยาก มีความต้องการไปหมดเลย แล้วได้ถ้ารับรู้รสล่ะ? เห็นไหม กลิ่นเรากินไม่ได้นะ กลิ่นนี่มันสัมผัสได้ แต่อาหารเรารับรู้รสได้ในลิ้นของเรา แล้วลงไปในกระเพาะของเรา มันจะมีประโยชน์กับร่างกายของเรา

ปัญญาที่เกิดขึ้นกับเรา เห็นไหม โลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากเปลือกของไข่ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากของเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาอย่างนี้ โดยธรรมชาติมันปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มี แต่สิ่งนี้มันมีขึ้นมา ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม นี่ทุกคนจะบอกว่า “มีปัญญา ใช้ปัญญาไปแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นเป็นอนิจจัง”

มันเป็นเปลือกไข่ คำว่าเป็นเปลือกไข่นี่มันเป็นสัญญา มันเป็นการจำมา ดูสิดูเกมกีฬา เห็นไหม ดูสิเราเห็นเขาเล่นกีฬา เราต้องวางเทคนิคเพื่อแก้เกมกัน เกมกีฬานี่เรารู้ทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย แต่กีฬาของเราไม่สามารถทำแต้มได้ กีฬาของเราจะไม่มีประโยชน์เลย มีแต่แพ้กับแพ้

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเกิดปัญญากับเรา นี่มันเป็นโลกียปัญญา เห็นไหม มันไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าจิตประสบความสำเร็จเข้ามามันจะเป็นโลกุตตรปัญญา แล้วโลกุตตรปัญญาที่มันใคร่ครวญกัน มันทำลายกัน มันทำลายอันนั้นคือแต้มของมัน เวลามันปล่อยวางชั่วคราว ปล่อยวางชั่วคราวนี่มันเป็นตทังคปหาน ตทังคปหานเพราะจิตนี่พื้นฐานมันมีความสงบของมันเข้ามา มีสติสัมปชัญญะเข้ามา มันใคร่ครวญเข้ามา มันปล่อยวางชั่วคราว นี่มันทำแต้มตลอดไป

แต่แต้มนี้ กาลเวลานะ เวลาของเกมนั้นยังไม่จบ ในเมื่อเกมยังไม่จบ กิเลสมันก็ทำแต้มของมัน เห็นไหม มันจะบอกว่า “ใช่แล้ว พอแล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว” นี่ธรรมะรู้ตั้งแต่ยังไม่เกิดนะ นี่ยังไม่เกิดขึ้นมามันรู้หมดแล้ว ธรรมะนี่รู้หมดเลย แล้วมันได้ผลอะไรขึ้นมา มันไม่ได้แต้มอะไรของมันขึ้นมาเลย เห็นไหม แต่ถ้ามันทำถึงที่สุดของมัน นี่ความฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ตั้งแต่ตทังคปหานจนเป็นสมุจเฉทปหาน ความที่สมุจเฉทปหาน มันสมุจเฉทปหานอย่างไร?

นี่ไง “โลกกับธรรม” ความคิดธรรมะ ตรึกในธรรมะนี่ตรึกโดยโลก ตรึกโดยตัวตนของเรา แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ตัวตนมันสงบตัวลง แล้วมันออกใช้ปัญญา ออกใช้ปัญญา เห็นไหม สังขารเหมือนกัน สังขารอันหนึ่งเป็นสังขารโดยทิฏฐิมานะ สังขารโดยตัวตนของเรา สังขารโดยเราคิด เราปรุง เราแต่ง สังขารอันหนึ่งเป็นสังขารจากสมาธิรองรับ มันตัดตัวตนของเรา ตัดเราออกไป

มันเป็นโลกุตตระเพราะอะไร? เพราะว่ามันเป็นธรรม มันเป็นสภาวธรรม มันเป็นปัจจุบันธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นจากสัมมาสมาธิ ธรรมที่เกิดขึ้นจากความสงบของใจ ธรรมที่เกิดขึ้นจากฐานที่ตั้ง ธรรมที่เกิดขึ้นจากที่มาที่ไปไง แต่ธรรมของเรามันไม่มีที่มาที่ไป มันมาจากสัญญา มันมาจากไม่มีฐานรองรับ มันไม่มีกรรมฐาน ไม่มีสมถกรรมฐานรองรับ มันไม่มีสมาธิรองรับ

ปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาสาธารณะ เป็นธรรมชาติ.. เขาว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” แต่ถ้าเป็นธรรมของเรานะมันเกิดจากตัวตน มันเกิดจากความเป็นสมาธิกับเรา เห็นไหม มันเป็นปัญญาของเรา มันชำระกิเลสของเรา เรารู้ของเรา มันเป็นธรรมะส่วนบุคคล มันเป็นธรรมะจากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นสัมผัสขึ้นมา นี่โลกุตตรปัญญาเกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมา

นี่โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา มันแตกต่างกันมาก.. แตกต่างอันหนึ่ง แตกต่างแบบโลกียปัญญา ต้องทบทวน ต้องฝึกฝน ต้องหมั่นฝึกซ้อมตลอด อันนั้นมันจะเป็นโลกียปัญญาเพราะมันหลงลืม ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญา เห็นไหม มันเป็นสัจธรรม มันไม่ลืมเลยนะ ใครสัมผัสสมาธิ ใครสัมผัสปัญญา มันจะฝังใจไปตลอดเวลา มันจะฝังหัวใจไปเลย เพราะอะไร? เพราะมีความสุขวันนั้น เพราะมันฝังอยู่กับหัวใจ เพราะหัวใจเป็นคนรับรู้ หัวใจเป็นผู้สัมผัส

นี่ไงโลกุตตรปัญญา แล้วถึงที่สุดถ้ามันขาดนะ จิตนี้มันกลั่นมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นอริยสัจ แล้วจิตนี้มันกลั่นออกมา จิตนี้มันได้การกระทำของมรรคญาณ เห็นไหม มรรคญาณคือในอริยสัจ ในมรรคที่มันสร้างขึ้นมา มันทำของมันขึ้นมา แล้วมันเป็นสัจจะความจริง มันเป็นปัจจุบันขึ้นมา แล้วมันทำลายตัวมันเองออกมา

นี่จิตมันกลั่นมาจากอริยสัจ เห็นไหม ยถาภูตัง ญาณทัศนะมันรู้นะ รู้ว่าดับแล้ว รู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น.. สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา รู้จริง เห็นจริง ปล่อยวางตามความเป็นจริง นี่ไงไม่ธรรมดา ธรรมดาไม่ได้ มันเห็นจริงของมัน มันเป็นธรรมะที่เหนือสัจธรรม เหนืออริยสัจ เห็นไหม

นี่สัจจะ อริยสัจจะ แล้วจิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ นี่มันธรรมดาไปที่ไหน? มันเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมดาทั้งหมด เพราะมันเป็นอกุปปธรรม ไม่อยู่ในวัฏฏะ ไม่อยู่ในอำนาจของใคร มันเป็นวิวัฏฏะ มันหมุนออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนกระทำเข้าไป เห็นไหม

นี่ธรรม! ธรรมกับโลกนะ เราเกิดมากับโลก เรามีปฏิสนธิจิต เราเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดจากอวิชชา มีจิตนี้เป็นพื้นฐาน นี่เกิดจากโลกปฏิเสธไม่ได้ เราปฏิบัติโดยโลก แล้วถ้าปฏิบัติเป็นจริงขึ้นมานี่ปฏิบัติโดยธรรม ถ้าเป็นธรรมะขึ้นมา ธรรมกับโลกอยู่ด้วยกัน นี่ตกข้างซ้าย ตกข้างขวา เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา ธรรมที่เป็นสัจจะความจริง ที่เกิดขึ้นจากหัวใจของเรา การกระทำของเรา แล้วจะเป็นผลประโยชน์ของเรา เอวัง